ไวโอลินในระดับเริ่มต้น โดยเฉพาะ
ไวโอลินขนาดเล็กสำหรับเด็ก
มักจะเริ่มต้นด้วยราคาต่ำมาก เพียงไม่กี่พันบาท
ส่วนมาก
ไวโอลินเหล่านี้จะมีจากประเทศจีน มีคุณภาพที่ไม่คงเส้นคงวา
ผมเคยไปซื้อ
ไวโอลินเด็กที่ร้านร้านหนึ่งแถวเยาวราช
ปรากฏว่า
ไวโอลินรุ่นเดียวกัน มาจากโรงงานเดียวกัน นำเข้ามาพร้อมๆ กันสองตัว
มีคุณภาพที่แตกต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ
ตัวหนึ่งมีส่วนหัวที่ลูกบิดบางอันไม่สามารถบิดได้เลยเพราะไปเบียดกับส่วนไม้
ด้านใกล้สาย เสียงที่ได้ก็แหบพร่าจนไม่เหมือนเสียง
ไวโอลิน
ในขณะที่อีกตัวหนึ่งมีงานฝีมือที่ประณีตกว่ามากและให้เสียงที่ใช้ได้ในราคา
ระดับเริ่มต้น
ถัดขึ้นมาจากราคาไม่กี่พันบาทก็จะเป็นหนึ่งหมื่นบาท
ขึ้นไปถึงสองหมื่น
ไวโอลินในระดับราคานี้มีคละเคล้ากันไป
ส่วนมากก็จะมาจากประเทศจีนอีกเช่นเคย
แต่คุณภาพจะดีกว่าแบบไม่กี่พันบาทอย่างชัดเจน
ไวโอลินกลุ่มนี้มีงานฝีมือที่ค่อนข้างใช้ได้
วิธีดูคือให้ดูจากรอยต่อระหว่างแผ่นบนกับแผ่นข้าง
และระหว่างแผ่นข้างกับแผ่นหลัง รวมทั้ง Fingerboard
ที่ควรจะเรียบและลื่นพอประมาณ มิฉะนั้นจะเล่นให้เสียงถูกต้องยาก
เพราะปรับตำแหน่งนิ้วได้ไม่ถนัด รวมทั้งการเปลี่ยน Position
ที่ต้องอาศัยความลื่นของ Fingerboard ช่วยเป็นอย่างมาก แน่นอน ถ้า
Fingerboard ลื่นเกินไปจะทำให้กดโน้ตไม่อยู่ ทำให้เสียงเพี้ยนได้เช่นกัน
รอยต่อระหว่าง Fingerboard กับคอควรจะเรียบ
มิฉะนั้นคุณอาจทำให้นิ้วโป้งและด้านข้างของนิ้วชี้บาดเจ็บได้
ไวโอลินในช่วงราคานี้เป็น
ไวโอลินที่น่าซื้อสำหรับผู้เริ่มต้นมากที่สุด
เพราะหากซื้อราคาถูกเกินไป
คุณภาพที่ไม่ดีของ
ไวโอลินอาจทำให้คุณท้อแท้ต่อการฝึกได้โดยง่าย เช่น
การจูนสายที่ยากเพราะลูกบิดฝืดหรือลื่นเกินไป
หรือเสียงที่ไร้ความก้องกันวานและไม่ “หลุด” ออกมาจากกล่องไม้ด้านใน
ทำให้เล่นอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าเพราะ นอกจากที่ผลิตจากประเทศจีนแล้ว
ยังมี
ไวโอลินจากอดีตเช็คโกสโลวาเกียที่น่าพิจารณาอีก
นอกจากสองระดับ
ราคาดังกล่าวก็เป็นช่วงราคาที่กระโดดขึ้นไปเลย โดยเริ่มต้นที่ 3 ถึง 4
หมื่นขึ้นไป
ไวโอลินในระดับราคานี้จะแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ
คือแบบเก่ากับที่ผลิตใหม่ โดยส่วนมากมักจะมาจากยุโรป เช่นจากอิตาลี
ฝรั่งเศส เยอรมัน หรืออังกฤษ
ไวโอลินในระดับนี้มีคุณภาพที่ไม่น่าผิดหวัง
แต่สิ่งที่น่าพิจารณาก็คือคุณภาพที่เพิ่มมานั้นคุ้มกับราคาหรือไม่
ผมเคยเปรียบเทียบ
ไวโอลินจากจีนราคาหนึ่งหมื่นกว่าบาท
กับ
ไวโอลินเยอรมันราคาสามหมื่น
ปรากฏว่าความแตกต่างของทั้งงานฝีมือและเสียงนั้นน้อยมากจนดูไม่น่าคุ้มกับ
เงินเกือบสองหมื่นที่ต้องจ่ายเพิ่ม ถ้าหากจะพิจารณา
ไวโอลินในระดับราคานี้
โดยมากช่วงราคาที่เรียกได้ว่าคุ้มคือราคาตั้งแต่สี่หมื่นบาทเป็นต้นไป
ซึ่งจะเห็นข้อแตกต่างกับช่วงราคาต่ำลงมาอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งเรื่องคุณภาพของเนื้อไม้ เช่นความแห้ง การตอบสนองต่อความถี่ครบทุกย่าน
ความแข็งแรงและสมดุลของโครงสร้าง (Soundpost ไม่ล้มง่าย เป็นต้น)
ความประณีตของส่วนหัว (ลูกบิดหมุนง่ายและไม่ลื่นจนรั้งสายไม่อยู่)
คุณภาพของเสียง การก้องกังวาน เสียงต่ำที่ควรจะไม่พร่ามัว
เสียงสูงที่มีน้ำหนัก ไม่บางเบาจนเกินไป และใสกระจ่าง เสียงกลางที่มีน้ำ
ไม่แห้งกระด้าง และเสียงฮาร์โมนิกที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ
รวมทั้งคุณภาพของอุปกรณ์อื่นๆ เช่นหางปลา จูนเนอร์ปรับละเอียด ที่รองคาง
เป็นต้น การตอบสนองต่อการเล่นเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ
ไวโอลินที่ดี
“เล่นง่าย”
กล่าวคือไม่ทำให้ผู้เล่นที่มีความชำนาญรู้สึกว่าต้องออกแรงบังคับให้เสียง
เป็นอย่างที่ต้องการ
ซึ่งคุณสมบัติอันนี้แปรผันเป็นอย่างมากกับคันชักซึ่งหาอ่านได้ใน Music Time
ฉบับก่อนหน้านี้
อายุของ
ไวโอลินเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เริ่มต้น
ตั้งข้อสงสัยกันมาก เป็นความจริงที่ว่า
ไวโอลินอายุมากมักจะให้เสียงที่ดีกว่า
ไวโอลินที่เพิ่งผลิต
ทั้งนี้สาเหตุหลักนั้นเนื่องมาจากการที่ไม้สูญเสียความชื้นส่วนเกินออกไปตาม
ธรรมชาติ ทำให้เสียงที่ได้มีความชัดเจนและกังวานมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งอาจมีความดังมากขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพเมื่อแรกเริ่มผลิตเป็นสำคัญ
ข้อแนะนำที่สำคัญเมื่อพิจารณาซื้อ
ไวโอลินเก่าคือต้องตรวจดูรอยแตกให้ถี่ถ้วน
รวมทั้งร่องรอยของการซ่อมแซม
เช่นการลงชักเงาใหม่ซึ่งถ้าลงไม่ถูกวิธีจะลดคุณสมบัติความก้องกังวานของ
เสียงลงอย่างชัดเจน
ที่มา: violin.mo54.com
ติดต่อได้ที่บริษัท บราโวมิวสิค จำกัด
ที่อยู่ : 1093/4 ถนนอรุณอมรินทร์
ศิริราช บางกอกน้อย, กรุงเทพ 10700
โทรศัพท์ : (66) 02- 866-1152,
(66) 028663251
เบอร์มือถือ: (66) 082-824-6699
แฟ๊กซ์. : (66) 02- 866-0694
อีเมล์ : bravo@bravomusic.co.th